วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

โปรเจค Trainให้พร้อมทำงาน

ผมเองก็เคยเจอปัญหานี้ ในมุมมองของผมการศึกษาไทยไม่พัฒนาตามที่ตลาดแรงงานต้องการ ผมจบวิศวกรรมศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เชื่อไหมว่าจบมาเขียนแต่โปรแกรม ภาษา C เป็นอย่างเดียว ความรู้ทางด้านวิชาการ ไม่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่มีงานทำ  ส่วนใหญ่ การฝึกงานจะเป็นตัวชีว่าคนคนนั้นจะทำงานอะไรเพราะนอกจากที่ฝึกงานแล้วทำอะไรไม่เป็นแล้ว

ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ จึงอยากจะเปิดอบรม หรือเปิดสอน คนให้พร้อมกับการทำงานจริงๆถ้าไม่เชื่อผมก้ลองเข้าไปเดเว็บสมัครงานดูได้เลยครับ งานด้าน IT มีเยอะมาก แต่ทำไมมีคนตกงาน ก็เพราะทำงานไม่เป็น หรือ เจ้าของบริษัทก็อ้างว่าไม่มีประสบการณ์  ผมเคยคุยกับผู้จัดการหลายๆที่ว่า ถ้ามีเด็กจบใหม่ แต่ผ่านการเทรนมาเพื่อตอบสนองงานของคุณเลยเนี่ยคุณจะจ้างไหม  เค้าตอบแบบไม่คิดเลยว่าจ้าง เพราะมันต้องตามที่เค้าต้องการ และนั่นก็จุดประกายให้ผม แต่ก็อีกแหละครับ ผมไม่มีทุนที่จะทำ เลยอดทำตามเคย

โปรเจค เคล็ดลับคนไทยที่หายไป

ในคนสูงอายุหลยท่านที่มีของดีอยู่กับตัว แต่ลูกหลานไม่อยากจะได้เช่น สูตรการทำอาหาร ขนม ไทยๆ
หรือ วิธีทำเครื่องมือเครื่องใช้ ทอผ้าต่างๆ ยาสมันไพร ความรู้เหล่านี้กำลังจะหายไป ผมจึงอยากจัดตั้งชมรมหรืออะไรก็ได้สักอย่างเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เอาไว้และ
เปิดขาย ให้ผู้ที่ต้องการข้อมูลความรู้เหล่านี้ หรือแม้แต่ต่างชาติ เพื่อเป็นค่าตอบแทนให้ท่านที่เอาความรู้มาบอกดีกว่าปล่อยให้ตายไปพร้อมกับร่างกาย  เงินที่ได้จากการขายนอกจากให้เจ้าของสูตรแล้ว ก็ต้องเอาไปช่วยเหลือสมาชิกท่านอื่น เช่นงานศพ โดยที่เราไม่ต้องไปเก็บเงินเก็บทองเค้าเหมือนที่อื่นๆเค้าทำกัน แต่เราเก็บเอาความรู้แทน เพราะความรู้เรามีไม่เคยหมด

แล้วจะหาคนที่มีความรู้จากไหน
ผมคิดไว้เบื่องต้นว่าจาก สถานสงเคราห์ต่างๆเช่น บ้านบางแค ถ้าโครงการเราเริ่มได้แล้ว ก็จะเริ่มมีคนรู้จักเอง ที่สำคัญไปกว่านั้น ต้องมีการเอาข้อมูลเหล้านี้ไปใช้ให้เกิดประโยนช์ให้ได้ เช่นผู้ที่ต้องการจะเปิดร้านอาหารใหม่ หรือ ทำสมุนไพรต่างๆ

ใครสนใจทำกับผมก็บอกได้นะครับ

โปรเจค ช่วยคนไม่มีโอกาส

โครงการในความคิด  ช่วยคนที่มีแรงแต่ไม่มีทุน
โครงการนี้ผมคิดจะ เอาหมู และ ไก่ไข่ ไปแจกว่า อาจจะเป็น อบต หรือ บ้านผู้นำชุมชนที่ยังขาดแคน หรือ โครงการอาหารกลางวัน หมูและไก่เป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่ายมีลูกได้เร็ว และไม่ต้องห่วงว่าที่นั่นจะไม่มีอาหารกินอีก โดยเราจะเริ่มจากให้ยืมไปเลี้ยง 1 คู่ พอมีลูกต้องเอามาคือ 2 คู่ เพื่อให้ชาวบ้านคนอื่นได้ยืมต่อไป รวมถึง การปลูกป่า โดนข้อแลกเปลี่ยนที่สำคัญคือ ใครมาเอาหมูหรือไก่ไป ถ้ามีลูกต้องเอามาคือ และระหว่างรอลูกของมันให้ปลูกต้นไม้ด้วย หรือใครจะไม่เอามาคืนก็ได้แต่ต้องแลกับการปลูกต้นไม้ อาจจะดูเหมอืนไม่มีประโยชน์ แต่ถ้า เราปลูกมันกับมือ คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมทำอะรต้อนไม้ของเรา  เพราะนั่นมันก็เหมือนของๆเราที่อุตส่าปลูกมันขึ้นมา คิดง่ายๆแค่ปลูกกันเดือนละ 1 ต้น ประเทสไทยจะมีต้นไม้เพิ่มเดือนละหลาย 10 ล้านต้น

โครงการบริจาคเสื้อผ้า หนังสือ ของใช้ คอมพิวต์ ให้เด็ก
ผมคิดว่ามันน่าจะมีคนกลางหรือศูนย์กลางที่ให้คนที่ต้องการ หรือ โรงเรียนติดต่อมาได้เลย ศูนย์นี้จะรับบริจาคมาจากบริษัทต่างๆ ที่คิดอย่างนี้ก็เพราะว่า สมัยนี้จะบริจาคอะไรทีก็ต้องรอให้คนอื่นจัด เราอยากจะบริจาคแต่ไม่มีใครจัดก็ไม่รู้จะเอาไปให้ที่ไหน และผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมบริจาคแต่หน้าหนาว  ทำไมหน้าร้อนไม่บริจาคกันบ้าง ต้องรอให้หนาวก่อนทำไม

ใครสนในจัดตั้งกะผมก็บอกมาได้นะคราบ

โครงการ อพาร์ทเม้นท์

สร้าง อพาร์ทเม้นท์ ให้เช่า
จากการศึกษาข้อมูลการลงทุน ในตลาดทุน ตราสานหนี้ พันธบัตรรัฐบาล ได้กำไรปีละ 5-8 % ต่อปี
โครงการนี้ ผมมั่นใจว่าจะได้ผลตอบแทนไต่กว่า 10 % ต่อปี ผมคิดแผนบริหารโครงการเอาไว้แล้ว
โครงการนี้ผมคิดไว้ตั้งแต่เรียน มหาลัย ปี 3 แต่เนื่องด้วยไม่มีเงินทุน
แน่นอนท่านอาจจะมีข้อสงสัยใจว่า แล้วมันต่างกะคนอื่นยังไง คนอื่นๆก็คิดได้ ซึ่งข้อนี้ผมเองก็คิดหาวิธีตอบโจทย์ข้อนี้มานานแล้วครับ เนื่องจากผมเองก็ผ่านช่วงการเป็นนักศึกษา และ มาทำงานก็ยังอยู่ อพาร์ทเม้นท์  จึงรู้มาพอสมควรว่าคนที่อยู่ อพาร์ทเม้นท์  ต้องการอะไร  แน่นอนครับ โครงการนี้อาจจะเป็นเพียง 1 ในฝันของโครงการทั้งหมดของผม แต่ผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะทำมันให้ได้
สูตรการคิดเบื่อต้น แบบง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ เนื่องจากผมเป็นลูกพ่อค้า ไม่ได้เรียนด้านนี้มาโดยตรง

ผมจะระดมทุนมาโดนการเปิดขายหุ้นเพื่อนร่วมลงทุนด้วยกัน ให้ครบ 15-20 ล้าน โดยประมาณเพื่อซื้อที่ดินและ สร้างอพาร์ทเม้นท์  เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องกู้เงินธนาคาร และแทนที่เราจะจ่ายดอกเบี้ยธนาคาร ก็เอางเนส่วนนั้นมาเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นแทน เพียงเท่านี้ คนที่ลงทุนได้เงินประมาณ 7 % ทุกปีโดยที่ยังไมได้พูดถึงกำไรหรือรายได้ที่เหลือจากรายจ่ายของทุกเดือนอีก   โดนที่สินทรัพย์ก็ยังคงตั้งอยู่และไม่กลัวว่าจะมีใครมายึดด้วย เพราะไม่ได้เป็นหนี้ใคร และราคาก็ยังเพิ่มขึ้นทุกๆปี

ด้วยวิธีคิดเบื่องต้นนี้ผมจึงคิดที่จะทำโครงการนี้
มันอาจจะไม่ใช่วิธีคิดที่ถูกต้องนัก แต่ผมก็ยังอยากที่จะทำ
หรือถ้าใครมีวิธีหาเงินทุนให้ผมได้รบกวนบอกมั่งนะครับ

ประวัติก่อนหน้านี้

     ผมเป็นคนจังหวัดพิษณุโลก มีพี่น้องสามคนผมเป็นคนสุดท้องพ่อแม่มีอาชีพค้าขาย ตั้งแต่แรกเกิด แม่ผมได้จ้างคนมาดูแลผมและพี่ๆ เพราะเนื่องจากต้องทำงาน และไม่ค่อยมีเวลาแม่ผมมีอาชีพขายผัก โดยจะเอารถไปซื้อผักมาจากสวน โดยพ่อผมจะเป็นคนไปซื้อบ้างและให้ลูกน้องไปซื้อบ้าง แต่ถ้าเป็นที่ใหม่ๆพ่อผมจะเข้าไปติดต่อก่อนทุกครั้ง พ่อแม่ผมถือว่าเป็นคนดังใจจังหวัดและแวดวงการค้าในยุคนั้น ไปทีไหนก็จะมีแต่คนมาทักทาย ผมจึงชินกับสภาพความเป็นอยู่แบบนั้น ในระหว่างที่พ่อกับแม่ผมทำงานนหนัก ผมเองก็ได้อยู่บ้านกับพี่สาวอีก 2 คนโดยมีคนดูแลซึ่ง เป็นสามีภรยากัน พวกเราสามคนพี่น้อง รักพวกเค้าเหมือนพ่อแม่เราจริงๆ

เค้าเลี้ยงเรามาตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล โดยตั้งแต่เด็กๆทุกความทรงจำของผมต้องมีพวกเค้าเข้ามาเป็นส่วนในเหตุการณ์นั้นทุกครั้ง ชีวิตพวกเราดำเนินมาอย่างมีความสุข จนกระทั้ง ผมอายุประมาณ 2 ขวบ ที่จำได้เพราะว่า ตอนนั้นผมยังไมได้เข้าโรงเรียน พ่อกับแม่ผมเค้าทะเลาะกันและแยกทางกัน และนั่นเองจึงเป็นสาเหตุทำให้ครอบครัวเราต้องแตกแยกกัน เวลาผ่านไปอีกไม่นาน แม่ผมก็เจอปัญหาทางด้านการเงิน หรือจะเรียกอีกอย่างว่า หมดตัวก็ได้ จากคนที่เคยชีนกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ก็ไม่มีคนสนใจเลย เพื่อนฝูงที่เคยสนิทกัน ก็หายหมดแม่เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นไปหาเพื่อน ซึ่งจริงๆแล้วแค่จะไปคุยให้หายเครียส แต่เพื่อนแม่คนนั้นกลับ แกล้งล้มตัวนอนแล้วบอกให้ลูกน้องออกมาบอกแม่ผมว่า เจ้เค้านอนอยู่ มีอะไรให้ฝากบอกไว้ ทั้งๆที่แม่ผมเห็นเค้ารีบล้มตัวไปนอนตอนหันมาเจอรถแม่ผม ผมโตมากับเรื่องพวกนี้ เรื่องความเห็นแก่ตัว เหตุการณ์ก็ดำเนินไปแต่ไปด้วยไม่ดีนัก และแม่ผมก็โดนยึดรถ ยึดบ้าน คนที่แม่จ้างมาดูแลผมเค้าก็ไม่ไปไหนยังอยูดูแลผมทั้งๆที่ไมได้เงินเดือนจากแม่ผมแล้วเค้าก็เอาเงินเค้าเองมาดูแลผม แต่ด้วยที่ไม่มีบ้านแล้วเค้าจึงจำเป็นต้องไปอยู่เชียงใหม่ และพี่สาวผมคนโตก็ตามไปอยู่เชียงใหม่ด้วย ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ป 1 ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี ส่วนพ่อผมเค้าไปมีเมียใหม่ซึ่งก็คือ ลูกน้องมือขวาของแม่ผมนั่นเอง แต่พ่อผมเค้าก็ไม่เคยทอดทิ้งเค้าส่งพี่สาวคนโตเรียนต่อที่เชียงใหม่ จากเหตุการอันเลวร้ายที่เกิดกับแผม สุดท้ายก็เหลือรถ 10 อยู่ 1 คัน แม่ผมจึงตัดสินใจเอารถไปดัดแปลงเพื่อไปทำรถบรรทุกปูน และแม่ผมก็ไปขับรถเอง หว่างนั้นผมได้ไปอยู่กับ ญาติคนนึง ซึ่งเค้าไม่ได้อยากให้ผมไปอยู่ด้วย ผมอยู่กับพี่สาวคนกลาง เค้าจะเป็นดูแลผมมาตั้งแต่เด็ก เราอยู่กันอย่างอึดอัดมา 2 ปีเด็ก 2 คนต้องนอนหมอน1 ชิ้น เสื่อเล็กๆ 1 ชิ้น ผ้าหม่ผืนเล้กๆ 1 ชิ้น จนกระทั่ง พ่อผมมารับผมไปอยู่ด้วยชีวิตผมและพี่สาวก็เริ่มดีขึ้นเพราะพ่อผมค่อนข้างมีฐานะในตอนนั้น โดยระหว่างนั้นแม่ผมก็นานๆ จะกลับมาบ้านครั้งนึง พี่สาวคนโตจะกลับมาบ้านเดือนละ 1 ครั้งพร้อมๆกับ คนดูแลผม หรือพ่อแม่คนที่ 2 ของผม ชีวิตเรามีความสุขพอสมควรจนกระทั่ง พ่อผมเลิกกะเมียใหม่ ตอนนั้นผมอยู่ ป 5 ชีวิตเริ่มกลับมาลำบากอีกครั้ง พ่อผมต้องไปรับจ้างขับรถที่จังหวัด ตราด นานหลายเดือนกว่าจะกลับมาบ้าน แม่ผมก็ไม่ค่อยกลับมา ผมจะอยู่กะพี่สาว 2 คนโดยมีรายได้เดือนละ 4,000 บาทจากค่าเช่าล๊อกที่แม่ผมให้เค้าเช่า และไม่นาน คนที่เลี้ยงผมมาตอนเด็กๆ เค้าเสียชีวิต เราอยู่แบบนั้นมา 1 ปีตนกระทั้งพ่อผมรถชน แม่ผมจึงหยุดขับรถ และมาดูแลผมแทน โดยให้ลูกน้องที่เคยอบู่กับแม่ผมมาขับรถแทนพ่อผม และรถ 10 ล้อแม่ผมก็ขายไปเพื่อเอางเนิมาทำทุน อ่อ ลืมบอกไป ช่วงที่แม่ผมหมดตัว ยังเหมือนแม่อีก 3 คน ที่ชีวิตนี้ ผมและครอบครัวของผมจะไม่มีวันลือเค้าเลย

1 ลุงย้อย เค้าเป็นเพื่อนแม่ มาตั้งแต่หนุ่ม ก่อนเจอพ่อผมอีก

2 น้าสมใจ เค้าเป็นเพื่อนแม่ค้าด้วยกัน


น้าสมใจเป็นคนที่แม่ผมเคยช่วยเหลือเค้าไว้ตอนเค้ลำบาก เค้าเคยหมดตัวมาก่อน แม่ผมให้เค้าเอารถไป 1 คัน และคนขับ 1 คนโดยเลือกเอาตามใจได้เลยจะเอาคันไหนก็ได้ เค้าก็เลยกลายเป็นเพื่อนแท้ของแม่ผม ไม่ว่าแม่ผมจะเป็นยังไงเค้าไม่เคยทิ้งหรือดูถูกมแม่ผม แถมยังช่วยเหลือเรื่องคนทอง ผมเคยได้ยินเค้าพูดกับแม่ผมว่าถ้าวันนั้นนู๋ไม่ได้เจ้ช่วย วันนี้นู๋จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ (ตอนี้น้าสมใจเค้ารวยมาก)เค้าให้เงินแม่ผมมาซ่อมรถ และอะไรอีกหลายๆอย่าง

ลุงย้อย เป็นที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมีอยู่จริงในโลกใบนี้ ลุงย้อยเป็นเพื่อนที่ช่วยเหลือเพื่อนหรือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ลุงย้อยเป็นคนดีมาก ลุงย้อยไมได้รวยเงินทองแต่แกรวยน้ำใจ และเพื่อนมากมาย ใครๆก็ต้องเกรงใจแก แกช่วยเหลือคนอื่นจนวันสุดท้ายที่แกจะช่วยเหลือตัวเองได้ แต่วันนี้ลุงย้อยได้จากโลกนี้ไปแล้ว

กลับมาเรื่องผมต่อแม่ผมขายรถ 10 ล้อ และมาทำอย่างอื่นแทน และผมเองก็ช่วนพ่อขับรถตอนอยู่ ม2 ผมไม่เคยได้ไปเที่ยวช่วงปิดเทอม ไม่เคยไปเรียนกวดวิชา ในความคิดผมตอนนั้น คิดแค่จะหาเงิน พ่อและแม่จะได้ไม่ลำบาก ชีวิตเราอยู่แบบนั้นจนกระทั่ง ผมจบ ม 3 ผมจึงตัดสินใจเรียน เทคนิค ปวช ช่างอิเล็คทรอนิค

จากนั้นไม่นาน แม่ผมเริ่มขายหวยใต้ดิน ทางบ้านเราจึงมีฐานะดีขึ้น จากนั้นเพื่อนๆของแร่มกลับมาอีกครั้ง แต่ในใจผมไม่เคยคิดว่าใรจะมาจริงใจกับเรา เพราะสิ่งที่ผมได้เจอมาตั้งแต่เด็กๆมันสอนผมไว้แบบนั้น

เวลาผ่านมาอีก 2 ปี พ่อผมเกิดอุบัติเหตุอีก คราวนี้ขับรถไมได้หลายเดือน จึงตัดสิ้นใจเลิกอาชีพนั้น

ทางบ้านก็เลยมุ่งหน้าทางด้านหวย และฐานนะก็ดีขึ้นเลยๆ ซื้อรถ ซื้อบ้าน และผ่านมาระยะนึง ทุกอย่างก็หายไปอีก ด้วยเพราะที่ว่าทางการปราบปรามหวยอย่างหนัก เราจึงเลิก และหันมาทำงานถูกกฏหมาย

ซึ่งเป็นช่วงที่ผเรียนจบพอดี ผมจึงตัดสินใจมาทำงาน กทม ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ผมไม่เคยคิดจะมาทำงาน

ผมคิดที่จะทำธุระกิจด้วยตัวเอง แต่ด้วยเหตการตอนนั้น จึงต้องตัดสินใจแบบนี้

ทุกวันนี้ในหัวของผมมันคิดอยู่ตลอดเวลา ว่าจะยังไงให้รวยเพื่อพ่อแม่จะได้ไม่ลำบากอีก ผมคิดทุกอย่างและทำมาหลายอย่าง เท่าที่คน 1 คนจะทำได้แต่ก็ไม่รวยสักที ทั้งขายขนม ขายวุ้น ขายไม้ตียุง ไปขายตามตลาดนัด เล่นหุ้น และก็ไม่สำเร็จหรือว่าง่ายๆคือ ไม่รวยสักที แต่ยังดีที่มีงานประจำทำด้วย
แต่ยังมีอีกหลายโปรเจคที่มันยังอยู่ในหัวผม รอเวลาที่จะทำ และเงินทุน ผมศึกษาข้อมูลการลงทุนหลายรูปแบบ เพื่อที่จะมาตอบโจทย์ของผม ด้วยข้อจำกัดต่างๆ และเวลาก็ผ่านมาหลายปี จนบัดนี้ผมเองก็ยังๆไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย ผมข้อนข้างมีความั่นใจสูงและแอบคิดเข้าข้างตัวเองหรือป่าวไม่รู้นะว่าเป็นคนที่คิดอะไรแปลกที่คนอื่นคิดไม่ได้ ผมคิดมาเสมอว่าถ้าผมมีเงินทุน ผมสามารถเอามันไปทำให้เกิดผลมาได้อีกไม่น้อยตามโปรเจคที่วางเอาไว้ แต่มันก็ติดที่ข้อนี้แหละ ผมไม่มีทุน ทำอะไรก็ติดที่เวลาที่ต้องทำงานประจำไปด้วย เพราะต้องหาเงิน มาเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน ไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่
นี่ก็เป็นประวัติคร่าวๆของผมนะครับ